Skip to content Skip to footer

กุญแจของการเนรมิต (The key of manifestation)

ตอนที่ 2 เทคนิค 6 ข้อของการเนรมิต

ในตอนนี้ เราจะแชร์เทคนิค M.B.J.F.F.F. ที่จะทำให้คุณกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญในการเนรมิต (Master of manifestation) ได้

1. การทำสมาธิ (Meditation) : เมื่อคุณทำสมาธิในรูปแบบใดก็ตาม คลื่นสมองของคุณจะเข้าสู่สถานะธีต้า (Theta) คุณจะสามารถเริ่มสื่อสารกับจิตใต้สำนึกของคุณได้ และปัญญาภายในของคุณจะง่ายต่อการเข้าถึง นอกจากนี้ เมื่อคุณทำสมาธิมากขึ้น คุณจะมีความถี่ที่สูงขึ้น และคุณจะสามารถเชื่อมต่อกับตัวตนที่สูงขึ้น (higher self) ได้ง่ายขึ้น

2. การฝึกหายใจ (Breathwork) : ในปัจจุบัน มีเทคนิคการฝึกหายใจหลายแบบด้วยกัน ความสำคัญของแต่ละเทคนิคคือ คุณต้องควบคุมการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อกระบังลม และคุณต้องสามารถทำได้ด้วยตัวเอง ในตอนถัดไป จะเป็นการอธิบายเทคนิคการฝึกหายใจที่เพียงพอสำหรับการฝึกเพื่อเป็นผู้เชี่ยวชาญในการเนรมิตระดับเริ่มต้น หลังจากนั้น ถ้าคุณทำการฝึกหายใจกับสมาธิ เป็นกิจวัตรประจำวันแล้วล่ะก็ เรารับประกันว่า คุณจะสามารถเนรมิตได้เร็วขึ้น เนื่องจากคุณจะสั่นสะเทือนในความถี่ที่สูงขึ้น ดังนั้นสิ่งใดที่มีอยู่แล้ว โดยเฉพาะสิ่งที่ดี ที่คุณจินตนาการ คุณจะกลายเป็นแม่เหล็กดึงดูดสิ่งเหล่านั้นมาหาคุณได้อย่างรวดเร็ว

3. การเขียนบันทึก (Journaling) : ความสำคัญของการเขียนบันทึกคือ เมื่อคุณเขียนลงบนกระดาษคุณจะรู้สึก และประสบกับมันอีกครั้ง! เราไม่แนะนำให้คุณเขียนเกี่ยวกับวันที่ไม่ดีหรือสิ่งที่ไม่ดีที่เกิดขึ้น แต่เราขอแนะนำให้คุณเขียนเกี่ยวกับสิ่งที่ดีที่เกิดขึ้นกับคุณ ทุกวัน รู้สึกขอบคุณในสิ่งนั้น ยินดีน้อมรับสิ่งนั้น และทำซ้ำ ตัวอย่างเช่น เขียนบันทึกของตัวเองเกี่ยวกับ “สิ่งเล็กๆ ที่ทำให้มีความสุข” ที่เกิดขึ้นอยู่เป็นประจำ หากคุณเริ่มเขียนบันทึกเกี่ยวกับชัยชนะเล็ก ๆ หรือสิ่งเล็ก ๆ ที่ทำให้คุณมีความสุข คุณจะพบว่า คุณสามารถเพิ่มพลังการเนรมิตได้อย่างน่าประหลาดใจ

4. การรู้สึก (Feeling) : ให้คุณจินตนาการไปถึงว่าเมื่อคุณมีสิ่งนั้นไว้ในครอบครองแล้ว คุณจะรู้สึกอย่างไร และจดจำความรู้สึกนั้นมาใช้ โปรดระลึกอยู่เสมอว่าสิ่งเหล่านั้นมีอยู่ในโลกนี้แล้ว ยิ่งคุณฝึกให้เกิดความรู้สึกที่ได้ครอบครองสิ่งนั้นแล้ว ความรู้สึกขาดแคลนจะยิ่งน้อยลง และการเนรมิตจะเกิดขึ้นได้เร็วขึ้น
คุณสามารถฝึกสร้างความรู้สึกได้ โดยสร้างประโยคในแบบของคุณเอง โดยขึ้นต้นด้วย “ฉันคือ…”
ตัวอย่างเช่น หากคุณต้องการเป็นนักเขียนที่มีชื่อเสียง ให้สร้างประโยคบอกกับตัวเองว่า “ฉันเป็นนักเขียนหนังสือขายดี”
แต่คุณอาจต้องการเฉพาะเจาะจงมากกว่านั้น จึงใช้ประโยคว่า “ฉันเป็นนักเขียนหนังสือขายดีในอเมซอน” ฝึกให้ตัวเองรู้สึกว่าเป็นนักเขียนขายดีในอเมซอนด้วยการพูดพร้อมกับจินตนาการให้ชัดเจนว่า หนังสือของคุณขึ้นทำเนียบ Amazon Best Seller เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

5. โฟกัส (Focus) : โฟกัส เป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับเป้าหมายของเรา ให้คุณจินตนาการว่าคุณเป็นหนึ่งใน X-Men ที่สามารถยิงเลเซอร์จากดวงตาของคุณ แต่เลเซอร์นั้นเกิดจากพลังของตาที่สาม ซึ่งคุณสามารถเพ่งไปยังเป้าหมายเดียวได้ในขณะนั้น จินตนาการว่าคุณยิงไปชนเป้าหมายนั้น ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่มีอยู่แล้ว หรือสิ่งที่คุณฝันถึง หรือความสัมพันธ์ แล้วเพิ่มค่าสนามพลังงานคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ระหว่างคุณกับสิ่งเหล่านั้นด้วยการโฟกัส หรือความมุ่งมั่น เมื่อคุณใส่ความมุ่งมั่นเข้าไปในแสงเลเซอร์นั้นมากขึ้น กำลังจะแรงขึ้น และการเนรมิตจะเกิดได้เร็วขึ้น

6. อาหาร (Food) : อาหารคือพลังงาน สัตว์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีจิตสำนึก และจิตใต้สำนึก หากพวกเขารู้สึกกลัว สิ่งใดก็ตามที่พวกเขารู้สึกหรือรับรู้ผ่านตัวรู้ของสมอง หรือจิตสำนึก (Conscious mind) ข้อมูลเหล่านั้นจะถูกส่งต่อโดยอัตโนมัติไปยังจิตใต้สำนึกของพวกเขา ความโกรธและความกลัวจะฝังลึก อยู่ในส่วนจิตใต้สำนึกของพวกเขาด้วย ดังนั้นถ้าพวกเขารับรู้ว่าพวกเขากำลังจะถูกฆ่า ความกลัวจะเกิดขึ้น ความกลัวเป็นพลังงานเชิงลบในระดับที่ต่ำมาก เราต้องการหลีกเลี่ยงการดูดซับพลังงานเชิงลบนี้ จากการบริโภคเนื้อสัตว์ให้น้อยลง และรับประทานผักให้มากขึ้น ซึ่งจะช่วยให้การสั่นสะเทือนระดับพลังงานของคุณสูงขึ้น นอกจากนี้เนื้อสัตว์ส่วนใหญ่ต้องถูกปรุงให้สุกก่อนรับประทาน ซึ่งโครงสร้างเคมีของเนื้อสัตว์จะเปลี่ยนแปลง กระบวนการปรุงให้สุก จะทำให้เกิดอ๊อกซิเดชั่นในเนื้อสัตว์ ซึ่งสามารถก่อให้เกิดอนุมูลอิสระ และนำไปสู่การเสื่อมของเซลล์ ความชรา และความเจ็บป่วยได้ ดังนั้นหากคุณบริโภคเนื้อสัตว์ให้น้อยลง คุณก็จะสามารถลดความเสื่อมของเซลล์ ชะลอความแก่ และมีสุขภาพที่ดีขึ้นได้
เทคนิค 6 ข้อ ข้างต้นนี้ เป็นสิ่งที่เราทำและพิสูจน์ด้วยตัวเอง และคนที่ประสบความสำเร็จหลายๆ คนมาแล้ว ขออวยพรให้ทุกคนที่ลองนำเทคนิคนี้ไปใช้ ประสบผลสำเร็จในการเนรมิตทุกสิ่งที่คุณต้องการ

Alchemist Nook